เทศน์เช้า

วัตถุที่อาศัย

๒๔ มิ.ย. ๒๕๔๓

 

วัตถุที่อาศัย
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๔๓
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เกิดสภาวะไง คนมองแต่วัตถุนิยม เห็นไหม ดูแต่วัตถุ ไม่ดูสภาวะจิตใจ แต่เราดูวัตถุมันก็เป็นไปประสาที่เรามีปัญหากันอยู่นี่ มีวัตถุ ทำไมสร้างไม่ได้ ใคร ๆ ก็สร้างได้ แต่เขาไม่สร้างกันต่างหาก เพราะสร้างขึ้นแล้วมันกดถ่วงจิตใจ กดถ่วงจิตใจหมายถึงพระที่อยู่ต้องรับภาระดูแลรักษา นี้พระที่นั่นไปวิเวก เราสร้างเพื่อวิเวก จุดมุ่งหมายคนมันต่างกัน

ถ้ามองคุณค่าของใจ มองคุณค่าของใจของธรรมนะ ไอ้ตรงนั้นมันเป็นเครื่องอยู่อาศัย แล้วมันจะทำให้ใจเราพัฒนาขึ้นมา ถ้ามองคุณค่าถึงตรงนั้น คุณค่าของวัตถุมีคุณค่ามากกว่าหัวใจ หัวใจเป็นขี้ข้าไง ฉะนั้น เวลามองในมุมกลับกันน่ะ ในศาสนาเราพระพุทธเจ้าสอนอยู่ ปัจจัย ๔ เครื่องอยู่อาศัย เห็นไหม บริขารเครื่องอยู่อาศัย ทุกอย่างเป็นเครื่องอยู่อาศัยหมด เป็นของสมมุติเพื่อจะให้เราก้าวเดินข้ามจากนี้ไป เพื่อเข้าหาหัวใจ

แต่ถ้าเราติดตรงนั้นมันก็ติด ติดตรงที่ว่าเป็นวัตถุก็เอาวัตถุมาอวดกัน หมายถึงว่าถ้ามีศักยภาพต้องสร้างให้ได้คุณค่าอย่างนั้น ถ้าสร้างให้มีพออยู่ได้ แต่เราไปสร้างเป็น...ถ้ามองทางโลกมันไม่สมควร มันแบบว่ามันสู้เขาไม่ได้ ไปถึงมันต้องฟู่ฟ่าไง แต่ไม่...ไม่เป็นอย่างนั้น ความคิดของคนไม่เหมือนกัน

แล้วดูสภาวะเราไปอยู่นั่น ดูสภาวะฝนมันตก เห็นไหม พอฝนมันตกขึ้นไป ฝนตกลงมาน้ำลงมานี่ ธรรมชาติมันเกิด พอธรรมชาติมันเกิด เห็ดต้องเกิด ทุกอย่างต้องเกิด หัวใจเรามันก็ต้องเกิดอยู่ตลอดเวลา มันมีเชื้ออยู่ เหมือนเห็ดเลย ฝนตกความชื้นได้ปั๊บนี่ เห็ดมันจะงอกออกมาจากเชื้อนั้น เรายังมีเชื้อ ใจนี่มีเชื้ออยู่ ใจนี่ต้องเกิดโดยธรรมชาติของมัน เกิดโดยธรรมชาตินะ

เวลาคนเราตายไป ตายแต่ว่าตายไปเฉย ๆ แต่หัวใจมันก็ต้องไปเกิดใหม่ ๆ แต่ปัจจุบันนี้ มันเกิดเป็นอารมณ์ขึ้นมานี่ มันก็เกิด เหมือนกับดอกเห็ดเลย ดอกเห็ดเกิดมาชั่วคราว ชั่วคราวมันก็เหี่ยวเฉาไป แต่หัวใจเวลาอารมณ์เกิดขึ้นมาแล้วมันไม่เหี่ยวเฉาไป เราคิดใหม่มันก็มาใหม่ตลอดเวลา เห็นไหม แขกจรมา นี่เกิดดับ ๆ ตลอดเวลา ฉะนั้นว่าการเกิดดับนี่ สวรรค์ในอก นรกในใจ เวลาเกิดทุกข์เกิดยาก เกิดความคิดมานี่ สวรรค์ในอก นรกในใจ

แต่เวลาดับจากนี้ไปแล้ว มันก็มีสิ่งที่รองรับสภาวะอีกสภาวะหนึ่ง อันนั้นเป็นสวรรค์เป็นนรกแท้ ๆ ที่ว่าเราจะต้องไปตามนั้น ถ้าเราเห็นกับคุณค่าของวัตถุ เราสร้างแต่วัตถุขึ้นมา สภาวะของจิตใจมันกดถ่วงใจ เห็นไหม ใจนี่ควรจะได้ ถ้าสร้างแล้วนะ โยมจะได้บุญมากกว่าพระอีก เพราะอะไร? เพราะว่าเวลาโยมสร้างไปแล้ว โยมสละทิ้งไป นี่อันนั้นเป็นคุณค่าขึ้นมาจากใจ

วัตถุสิ่งของนั้นไม่ได้ไปนรกไปสวรรค์ แต่หัวใจที่สละสิ่งนั้นออกไปนี่ไปนรกสวรรค์ แต่ขนาดว่าเขาหัวดำ ๆ เขายังสละทิ้งออกมา แล้วถ้าหัวเรา หัวเราโกนหัว โกนคิ้ว โกนผมทุกอย่าง แล้วเราไปติดสภาวะอันนั้น เอาอันนั้นมีคุณค่า ดูสิ พระติสสะที่ว่าตายไป ยังไปเกิด เห็นไหม ติดเฉพาะจีวรผืนเดียว มีสวรรค์สมบัติขึ้นไป...ไม่ไป ไปเกิดเป็นเล็นอยู่ในจีวรนั้น เพราะความติด เห็นไหม ใจติด

นี่คุณค่ามันต้องคิดตรงนั้น ถ้าใจไปติดตรงนั้น ใจให้คุณค่าของวัตถุสูงกว่า ตัวเองไปติดเขาเอง แล้วเวลาตายไปต้องไปเกิดจากตรงนั้น พระพุทธเจ้ารู้ทัน สอนเห็นไหม พ่อแม่ครูจารย์ พระพุทธเจ้านี่เป็นศาสดาองค์เอก ยิ่งกว่าพ่อแม่ครูจารย์ มาบอกพระไม่ให้แจก ไม่ให้แจกเพื่ออะไร? เพื่อให้ครบ ๗ วันก่อน ถ้าเราสละออกไป เห็นไหม นี่ยึดติดแล้วถ้าเราไปแย่งอีก ยังเกิดอารมณ์โกรธ อารมณ์โมโหนั้น อารมณ์โกรธนั้นมันก็อารมณ์ที่หนักหน่วง ตายจากเล็นนั้นต้องตกนรกไปอีกชั้นหนึ่ง ทั้ง ๆ ที่ว่าในใจนั้นมีคุณค่านะ ไปสวรรค์ได้เพราะสร้าง เป็นพระนี่บวชพระมา สร้างคุณงามความดีในเพศสมณะพระ

สร้างคุณงามความดีมันสร้างภายนอก เห็นไหม แต่ความติดของใจมันติดผ้าผืนนั้น เพราะถ้าไปยื้อแย่งอีกก็ต้องมีความผูกพัน มีความโกรธลึกไปอีก พระพุทธเจ้าถึงบอกห้ามแจกไง เป็นการยืนยันว่าเขาสร้างคุณงามความดีมาพอสมควร แต่เวลายึดติดนี่สำคัญมาก ปัจจัย ๔ เครื่องอยู่อาศัย ต้องอยู่อาศัย อย่าไปยึดติดมัน ใช้เป็นเครื่องอาศัยไป พอครบ ๗ วันแล้วเล็นนั้นตายไป เกิดบนสวรรค์ นี่พระพุทธเจ้าบอกเลย ตายจากเล็นนั้นแล้วขึ้นไปเกิดบนสวรรค์ ขึ้นไปอีก เห็นไหม

นั่นน่ะให้ประโยชน์ ๒ ชั้น ๓ ชั้น ๒ ชั้นคือว่าเป็นคนรู้เท่าทันว่า ถ้าไปแย่งมันจะตกนรกไป นี่ให้ไปสวรรค์ แต่จิตแต่ละดวงจะไปสวรรค์ ไปดีนี่ พระพุทธเจ้าพยายามโปรด พยายามสอนนะ เพื่อจะให้ไปดี นี่รื้อสัตว์ขนสัตว์ไง เรามีตำรับตำรา มีธรรม คือว่าพระไตรปิฎกมีอยู่แล้ว ถ้าศึกษานั้นเป็นเครื่องเตือนใจ มันสะกิดใจของเรานะ มันจะสะกิดใจมาก สะกิดใจแล้วเราต้องพยายามหาทางออก หาทางออกไป เครื่องอยู่อาศัยต้องเป็นเครื่องอยู่อาศัย เครื่องอยู่อาศัยนี่เราแค่อาศัยไปอยู่ชั่วคราว ๆ เป็นผลภายนอก

แต่หัวใจที่มันเกิดดับ ๆ เห็นไหม ที่ว่าเวลาเกิดตายไปนี่ ตายไปแล้วไปเกิดนรกสวรรค์ แต่เวลามันเกิดปัจจุบัน ที่ว่าเกิดอารมณ์รุ่มร้อนขึ้นมานี่ มันสะกิดใจขึ้นมาแล้วมันเกิดขึ้นมา แล้วอะไรฝังใจ สะกิดใจ มันจะฝังใจลึก แล้วเดี๋ยวเกิดคิดบ่อย ๆ คิดซ้ำคิดซากขึ้นมา

นี่เห็นไหม เวลาความคิดขึ้นมา เห็ดมันเกิดขึ้น ๆ แต่อารมณ์ที่มันเกิดขึ้นเหมือนแขกจรมา มันเกิดขึ้นมาแล้วมันซับซ้อน ๆ ๆ ในธาตุขันธ์ ในขันธ์ ในความรู้สึกกระทบขึ้นมานี่ มันจะรวมลงไปอยู่ในที่ใจ ใจนั้นเป็นเชื้ออยู่ เชื้ออันดั้งเดิมมา เวลาคิดมา กระดิกพลิกแพลงขึ้นมาจากเชื้ออันนั้นขึ้นมา ออกมาเป็นขันธ์รับรู้อีก

นี่เวลาพิจารณาเข้าไปในขันธ์ มันจะเห็นไง ว่าสัญญาความจำได้หมายรู้ข้อมูลเดิมที่อยู่ในหัวใจนี่ อันนี้สำคัญมากเลย ถ้าสัญญาดี ภาพรวมที่ดี เราได้สะสมคุณงามความดีมา ทำบ่อย ๆ ที่เราไปให้ทานกันนี่ บ่อย ๆ เข้าเพื่อจะให้อันนี้มันมีอำนาจที่เหนือกว่า เหนือกว่าความคิดที่มันพลิกแพลงขึ้นมาทางฝ่ายไม่ดี ถึงมันเกิดมีฝนตก ฝนตกความชื้นมีน้ำ มีความชื้น เห็ดต้องเกิดโดยธรรมชาติของมัน

อันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเราสะสมคุณงามความดีของเรานี่ มันก็ต้องเกิด อารมณ์มันเกิดดับอยู่ตลอดเวลาโดยธรรมชาติของมัน แต่ให้มันเกิดในฝ่ายที่ว่า ฝ่ายเป็นบุญกุศลไง บุญกุศลกับอกุศล เห็นไหม มันต้องเกิดโดยธรรมชาติของมัน มันมีเชื้ออยู่แล้ว เชื้ออันนี้มันต้องเกิดโดยธรรมชาติ ธรรมชาติถ้าเกิดดี ๆ นี่ เกิดดีขึ้นไปเรื่อย ๆ

นี่ธรรมไง ธรรมคือว่าความพยายามฝืน ฝืนความคิดของตัวเอง ฝืนความเห็นที่ว่ามันจะชักไปตามความเห็นของมัน คือถ้ามันเกิดธรรมชาติของมัน น้ำมันต้องไหลลงต่ำ ความคิดธรรมดามันต้องไหลไป คิดเรื่องที่มันพอใจ อันนี้เรียกว่ากิเลส กิเลสคือความเคยใจ หัวใจที่มันเคยเป็นทางสายหากินของเขา คือว่าการเกิดของธรรมชาติเขาเป็นอย่างนั้น มันธรรมชาติที่ว่า มันไหลลงไปโดยที่ว่าเกิดเป็นพลังงานอันนั้นตลอดเวลา

แต่ธรรมนี่ทวนกระแส พระพุทธเจ้าบอก “ธรรมนี้ทวนกระแส” ทวนกระแสโลกทั้งหมดเลย โลกที่เห็นว่าเป็นคุณงามความดีน่ะ อันนั้นมันของชั่วคราว อย่างที่ว่าความเจริญรุ่งเรืองนี่ มันต้องเป็นวงรอบของมัน มีขาขึ้นขาลงต้องมีโดยธรรมชาติของมัน สรรพสิ่งโลกนี้เป็นอนิจจัง ชีวิตหนึ่งมันต้องมีประสบสภาวะอย่างนี้หลายรอบแล้วเกิด เห็นไหม สรรพสิ่งเป็นอนิจจัง โลกนี้เป็นอนิจจัง สรรพสิ่งมันเกิดขึ้นธรรมดา

แต่ธรรมที่เกิดขึ้น ธรรมที่เราสะสมขึ้นมา ๆ มันก็เป็นอนิจจัง แต่มันพยายามฉุดลากออกมา ฉุดลากให้เราขึ้นไป นี่ติดเบรกห้ามล้อไง ไม่ให้มันเป็นไปตามอย่างนั้น ติดเบรกห้ามล้อนี่เป็นขันติบารมี ขันติบารมีนี่พยายามยับยั้งไว้ก่อน ยับยั้งไว้ สู้ไม่ได้ ต้องยับยั้งไว้ก่อน แล้วพอมันขึ้นไป สูงขึ้นไป ๆ ความเห็นของเราสูงขึ้นไป

นี่ธรรมชาติมันต้องเกิดดับ แต่เกิดดับให้อยู่ในอำนาจของเรา อำนาจที่เราพยายามฝืนใจของเราขึ้นมา เกิดดับขึ้นมา แล้วมันเกิดดับทางดีขึ้นไป เกิดดับเหมือนกัน เกิดดับดี ๆ มันจะซับความดี ๆ จนไปถึงว่าเชื้ออันนั้น เชื้ออันนั้นก็ได้เชื้อความดีไป พอเชื้อความดีไปนี่ การเกิดตายมันไปสวรรค์อีกชั้นหนึ่ง สวรรค์ข้างนอกส่วนสวรรค์ สวรรค์ในอก นรกในใจ เพราะมันต้องมีเชื้ออันนี้ เชื้อนี่มันเกิดโดยธรรมชาติ

แต่ถ้าพอมันเกิด เชื้อนี้มันมีอยู่ธรรมชาติ มันต้องเกิดดับธรรมชาติ แต่พอมันสร้างสมคุณงามความดีขึ้นไป เห็นไหม พอตายจากอันนี้ไปสวรรค์ ถ้าไปตามกระแสของมัน ตายไปแล้วมันจะไปไหนล่ะ เพราะมันให้ผลในความเร่าร้อนในใจอยู่แล้ว ถ้าเราไม่ติดเครื่องอยู่อาศัย ความเข้าใจ นี่ธรรมคือปัญญา ศรัทธาแล้วมีศรัทธาอันหนึ่ง ปัญญามีปัญญาอันหนึ่ง แล้วพอความเข้าใจนี่ อาศัยเกาะเกี่ยวไป

เหมือนกับผู้รู้ธรรม เห็นไหม ผู้รู้ธรรมเหมือนกับผู้ที่เข้าใจหลักการ พอเข้าใจหลักการแบบเราเข้าใจ มันเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา เราเจอสิ่งที่มันเป็นพิษเป็นภัยเราก็ต้องอาศัยไป เราก็อาศัยไปโดยที่ว่าเครื่องอยู่อาศัยธรรมดา แต่ถ้าเราเหมือนกับเด็ก ๆ ความคิดเด็ก ๆ มันเคยเห็นของใหม่ขึ้นมา ทุกอย่างเห็นขึ้นมานี่เป็นของใหม่ขึ้นมา มันกอด มันยึดมั่นถือมั่น ความยึดมั่นถือมั่นเหมือนกับเราจับไปทั้งกำมือนี่ ความเร่าร้อนของมือมันต้องพองต้องไหม้

หัวใจก็เหมือนกัน มันจับอารมณ์ ถ้ามันยึดของมัน ถ้าเราเข้าใจเรื่องของธรรม มันแค่อาศัยไป ๆ พออาศัยไปมันก็เจริญขึ้นเรื่อย ๆ ความเจริญขึ้นไปนั่นน่ะ พัฒนาใจขึ้นไป วุฒิภาวะของใจ เห็นไหม จากปุถุชนคนหนาด้วยกิเลส เป็นกัลยาณชนคนที่ทำใจให้เป็นความสงบได้ นี่ความทำใจให้สงบจากกิเลส ความยั่วยุที่มันให้เกิดออกไป อันนั้นน่ะทำให้สงบเข้ามา

นี่สัมมาสมาธิ ความเป็นสัมมาสมาธิมันชำระรูป รส กลิ่น เสียงภายนอก มันเป็นกัลยาณชน นี่วุฒิภาวะของใจ ปุถุชน กัลยาณชน กัลยาณชนนี่เป็นกัลยาณชนเพราะอะไร? เพราะควบคุมใจของตัวเองได้ บังคับใจของตัวเองไปตามสิ่งที่ว่ามันจะเจริญรุ่งเรืองไปได้ ถึงเป็นผู้เดินอริยมรรค โสดาปัตติมรรคจะเริ่มขึ้นจากกัลยาณชนนี้เป็นผู้เดินขึ้นไป

ถ้ายังเป็นปุถุชนอยู่ มันเดินไม่ได้ เพราะว่ามันไม่มีสนาม มันไม่มีสนามบิน มันไม่มีถนนที่ให้ใจนี้ขับเคลื่อนออกไปได้ ถ้ามีสนามบิน สนามบินอยู่ที่ใจนั่นแหละ ใจเปิดกว้างขึ้นมา เห็นไหม มีสนาม มีการต่อสู้กับกิเลส นี่พัฒนาวุฒิภาวะของใจพัฒนาขึ้นอย่างนี้ ถึงว่าไปสวรรค์ ๆ ไง ไปสวรรค์เพราะว่าทำคุณงามความดีแล้วเปิดพื้นที่ของใจ

นี่โสดาปัตติมรรคเกิดขึ้นได้ เป็นปุถุชนนี่แหละ เป็นกัลยาณชนขึ้นมา แล้วก็เป็นโสดาปัตติมรรค ถ้าเดินโสดาปัตติมรรค มันก็เป็นการก้าวเดิน เป็นมรรคฝ่ายดี เห็นไหม ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี มันก็ต้องเป็นผลอันนั้นขึ้นมา ถ้าเราพยายามทำ ฝืนทำลงไป ใจนี้ก็เป็นประโยชน์ขึ้นมากับเราเอง

นี่จากเครื่องอยู่อาศัย มันจะเป็นประโยชน์กับเรา แต่ถ้าไปติดมันแล้วนี่ ทำให้เราเป็นขี้ข้าเขา เป็นขี้ข้าวัตถุไง หัวใจนี้ถ้ามองทางโลก ถ้ามีวัตถุขึ้นมา เขาว่าคนนี้มีค่ามีวาสนาบารมี แต่ถ้าความทุกข์ในหัวใจนั้นไม่ได้คิดตรงนั้น แต่คนที่ว่า เห็นไหม ยกตัวอย่างอย่างเช่น อาจารย์อย่างนี้ ไม่มีเลย มีแค่บริขาร ๘ แต่หาเงินช่วยชาติได้ขนาดนี้

นี่ผู้ที่ไม่มีอะไรเลย แต่ถ้าหัวใจมีธรรมในหัวใจขึ้นมา เครื่องอยู่อาศัย แล้วมาก็เพื่อประโยชน์โลกทั้งหมด ตัวเองไม่มีส่วนใดที่ว่าเป็นตุกติก ไม่มีเลย เพราะใจเป็นธรรมจริง ๆ ใจเป็นธรรมจริง ๆ ถึงที่สุด แต่เราไม่มีเราก็ก้าวเดินไปอย่างนั้น ให้เห็นโทษตั้งแต่เริ่มต้น ปากทางเข้า ถ้าปากทางเข้าไม่ข้องแวะ ไม่ติดสิ่งนี้ก่อนมันก็ไปได้สุดเส้นทาง ถ้าเริ่มปากทางเข้าก็เริ่มติดแล้ว แล้วมันจะไปสิ้นสุดของทางได้อย่างไร เอวัง